พระพุทธองค์ทรงปราบ อาฬวกยักษ์

พระพุทธองค์ทรงปราบอาฬวกยักษ์

อันว่าใกล้ กรุงอาฬวี นั้นมียักษ์
ผู้มีฤทธิ์ ร้ายนัก ทั้งกักขฬะ
วิมานใหญ่ อยู่ไทรดก ปกระดะ
มีชื่อว่า อาฬวกะ ยักษ์ใจพาล
ได้รับพร มาจากท้าว เวสสุวรรณ
ให้กินคน สัตว์ทั้งนั้น เป็นอาหาร
หากพลัดไป ร่มไทรตน ตามต้องการ
ใครไม่รู้ หลงพลัดผ่าน ถูกจับกิน

ครั้งหนึ่งองค์ พระราชา ออกล่าเนื้อ
ตามไปไกล ไล่ถากเถือ แบกคืนถิ่น
เที่ยงร้อนนัก พักร่มไทร เหงื่อไหลริน
จึงถูกยักษ์ จักจับกิน สิ้นพระชนมั
ทรงเสนอ สัญญา ส่งอาหาร
ให้ยักษ์พาล มิวายเว้น ก็เป็นผล
หากวันใด ผิดคำสัจ ไม่ส่งคน
จงจับตน เป็นภักษา พารอดตัว

แต่นั้นมา ทุกวัน ผู้ทัณฑ์โทษ
ถูกส่งไป ให้ยักษ์โหด ขย้ำหัว
เคี้ยวกินเล่น เช่นเผือกมัน นั้นน่ากลัว
คนรู้ทั่ว มิกล้าผิด ติดจองจำ
หมดนักโทษ ส่งเด็กมี ทีละบ้าน
คนสะท้าน โยกย้าย ระส่ายระส่ำ
สิบสองปี เด็กสิ้นไร้ ให้ระกำ
มิคืนคำ จำพระทัย ให้ราชกุมารฯ

เช้าวันนั้น พระพุทธองค์ ทรงตรวจสัตว์
ญาณแจ้งชัด อาฬวกะ ยักษ์ใจหาญ
มีนิสัย จักได้ธรรม ทรงประทาน
ทางกันดาร เสด็จสู่ ที่อยู่ไทร
จากเชตวัน สาวัตถี มิได้พัก
ไกลยิ่งนัก สามสิบโยชน์ หาน้อยไม่
ถึงวิมาน ก็เย็นค่ำา แดดรำไร
พระประสงค์ ตรงเข้าใน หมายแรมคืน

ฝ่ายว่ายักษ์ รักษาทวาร กราบกรานถาม
ครั้นทราบความ ก็ห้ามไว้ ใช่แข็งชื่น
ยักษ์เจ้าของ จักปองร้าย เป็นไฟฟัน
ไม่ชื่นมื่น ด้วยโหดร้าย หยาบคายนัก
พุทธองค์ ทรงยืนคำ ถึงสามครั้ง
ด้วยทรงตั้ง เจตนา มาแน่นหนัก
จึงจำยอม อนุญาต ให้ทรงพัก
ตนขอแจ้ง อาฬวกยักษ์ ที่หิมวันต์

พลันทวาร บานประตู ก็เปิดรับ
เสด็จเข้า ประทับ บัลลังก์มั่น
เปล่งรัศมี สีทองงาม อร่ามครับ
เหล่าสนมเห็น อัศจรรย์ ชวนกันมา
เข้ารายล้อม น้อมนั่ง ฟังธรรมะ
ด้วยยินดี มีสมณะ เข้ามาหา
ฝ่ายอาฬวกะ รับรู้เรื่อง กลางสภา
ก็มิกล้า เขยิบขยับ กลัวอันอาย

ครานั้น สองยักษา เหาะมาผ่าน
จะลอยข้าม เหนือวิมาน มีสมหมาย
สาตาคิระ เหมะวกะ จึงลงกราย
พบพุทธองค์ ทรงบรรยาย ร่วมฟังธรรม
แล้วต่อยัง หิมวนา สภายักษ์
แจ้งสหาย ให้ประจักษ์ เรื่องดีล้ำ
พุทธองค์ ทรงบัลลังก์ แสดงธรรม
จึงแนะนำ กลับไปเฝ้า เข้าวิมานๆ

อนิจจา อาฬวกะ โทสะแสน
กลับโกรธแค้น แทนชื่นชม สมสมาน
ลุกขึ้นยืน เหยียบไกรลาส ประกาศกราน
ก้องกังวาน ตวาดแจ้ง ชื่อแห่งตน
ดังสะท้าน ไปทั่ว ชมพูทวีป
ตามสันดาน พาลรีบ ก่อลมฝน
พายุใหญ่ แรงจัด พัดเหลือทน
มุ่งทำร้าย หมายทศพล ผู้นิรภัย
ทรงอธิษฐาน ลมสงบ จบวา โย
ยักษ์บันดาล เดโช ห่าฝนใหญ่
ตกกระแทก ชำแรกร่อง เป็นช่องไป
แต่จีวร หาเปียกไม่ แม้น้อยเดียว
จึงบันดาล ฝนหินใหญ่ ไฟลุกโพลง
เครื่องประหาร ถ่านโขมง ฝนทรายเคี่ยว
ฝนเถ้ารึง ถึงแรงร้าย ทั้งหลายเทียว
กลายสิ่งเดียว ดอกไม้หอม น้อมบูชา
ยกพลพรรค ยักษ์ภูต เพื่อรุมเร้า
มิอาจเข้า ใกล้ดังปอง ต้องสิ้นท่า
จึงจนใจ ใช้อาวุธ สุดฤทธา
คือผืนผ้า ‘ทุสสาวุธ’ หยุดพระองค์
โยนขึ้นฟ้า ฝนจะแล้ง สิบสองปี
ตกธรณี แผ่นดินไหม้ เป็นผุยผง
ลงสมุทร น้ำตลอด จะขอดลง
สิเนรุ แหลกเป็นผง ในทันที
ครั้นอาฬวกะ จะใช้ ผ้าร้ายกาจ
เทพทั้งหมื่น โลกธาตุ ต่างล้อมที่
ทุสสาวุธ คำรามเสียง ใส่ภูมี
ตกเป็นผ้า เช็ดธุลี แทบบาทาฯ

ครึ่งคืนจรด หมดอาวุธ เห็นสุดฤทธิ์
เข้าประชิด ผรุสวาท ประกาศกล้า
สั่งพระองค์ “สมณะ จงลงมา
ออกไปจาก วิมานข้า ณ บัดนี้”
พระพุทธองค์ ทรงทราบ ยักษ์หยาบร้าย
หากจะหมาย หยาบกระด้าง อย่างเดียวนี่
จักยิ่งบาป หยาบคาย มิได้ดี
ลุกจากที่ แล้วยอมออก นอกวิมาน
ยักษ์เห็นท่า ทรงว่าง่าย ค่อยใจอ่อน
ลองบอกสอน สมณะ อีกสถาน
สั่งว่า”จง เข้าไป ในวิมาน”
ธ ก็ไป ตามต้องการ อย่างง่ายดาย
ยักษ์ได้ใจ สั่งให้ออก แล้วกลับเข้า
ก็ตามใจ ยักษ์เจ้า เหมือนว่าง่าย
ถึงสามรอบ ไปมาอยู่ มิรู้วาย
ดังยอมบุตร ผู้ร้องไห้ ก็ปานกัน
ครั้นถึงที่ ที่สี่สั่ง ว่าอย่างเก่า
“จงออกไป จากที่เรา” กลับพลิกผัน
ทรงตอบยักษ์ “ไม่ออกไป” ให้งงงัน
“จะทำเรา อย่างไรท่าน เชิญให้พอ”
ยักษ์จงน ถามเหตุผล พระพุทธเจ้า
ทรงตอบว่า “ตอนแรกเข้า เราไม่ขอ
ท่านให้ออก จึงออกไป ไม่รีรอ
สมควรต่อ ผู้มาเยือน มีเชือนแช
แต่ท่านบอก ให้เรา เข้ามาแล้ว
กลับเคลื่อนแคล้ว ให้ออกไป ไม่ถูกแน่
เจ้าของบ้าน เชิญแล้วไล่ ไม่ควรแท้
จักถึงแก่ ความเสียหาย ต้องอายคน”
มิคาดหมาย ในต่ำรัส พระศาสดา
ต้องแปลก ใจ พุทธปัญญา พาจงน
ยักษ์จึงเปลี่ยน คำถามใหม่ คาใจตน
ขู่ทศพล ตอบมิได้ ฉีกกายแทนๆ

เป็นคำถาม พระพุทธเจ้า พระองค์ก่อน
พระกัสสปะ ทรงสอน ประเสริฐแสน
พ่อแม่ยักษ์ ทูลถามธรรม จำแน่นแฟ้น
สอนลูกไว้ จำให้แม่น กาลก่อนมา
ครั้นนานไป ยักษ์หลงลืม ซึ่งคำตอบ
ยังจำได้ ก็แต่กรอบ ข้อปุจฉา
ถามใครใคร มิอาจเฉลย ล่วงเลยมา
ต้องปัญญา พระพุทธเจ้า ตอบเท่านั้น
“ทรัพย์อันใด เครื่องปลื้มใจ ในโลกา”
ทรงตอบว่า “ศรัทธา ค่าคงมั่น”
“ประพฤติดี นำสุขให้ สิ่งใดกัน”
“คือธรรมนั้น ประพฤติดี มีสุขครอง”
“รสอะไร ล้ำเลิศกว่า รสทั้งหลาย”
“รสพระธรรม ล้ำเพริศพราย กว่ารสผอง”
“อยู่อย่างไร เมธีซน คนแช่ซ้อง”
“ปราชญ์ยกย่อง ผู้อยู่อย่าง มีปัญญา”
“คนจะข้าม โอมะ อย่างไรเล่า”
“ด้วยศรัทธา พาก้าว ข้ามตัณหา”
“ข้ามอรรณพ ด้วยอะไร โปรดไขมา”
“ด้วยรักษา ความไม่ประมาท มีพลาดทาง”
“คนจะล่วง ทุกข์ได้ สิ่งใดช่วย”
“คนล่วงทุกข์ ได้ด้วย ความเพียรสร้าง”
“คนบริสุทธิ์ ด้วยใดหนอ ขอชี้ทาง”
“คนบริสุทธิ์ ทุกอย่าง ด้วยปัญญา”
“คนจะมี ปัญญาได้ อย่างไรเกิด”
“คนฟังธรรม ประเสริฐ เกิดรู้ค่า”
“คนจะมี ทรัพย์ได้ แต่ใดมา”
“ไม่ประมาท ฉลาดหา พยายาม”
“คนจะมี ชื่อเสียง ด้วยเหตุใด”
“สัจธรรม นำให้ น่าเกรงขาม “
“คนผูกมิตร ด้วยอะไร ใครยอมตาม”
“ก็ด้วยความ เป็นผู้ให้ ผูกไมตรี”
“ทำอย่างไร ไม่เศร้าโศก หากโลกละ”
“สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ธรรมะสี่”

ยักษ์ส่งใจ ไปตามธรรม พระภูมี
รุ่งรวี ก็สำเร็จ โสดาบัน!
จึงเปล่งเสียง ประกาศก้อง สาธุการ
เป็นเวลา ส่งกุมาร ให้ยักษ์นั่น
ยักษ์ประคอง กุมารถวาย พระทรงธรรม์
ทรงให้พร แล้วเป็นอัน รับกลับคืน
เสด็จเข้า บิณฑบาต ตอนรุ่งสาง
ยักษ์ถือบาตร ส่งครึ่งทาง อย่างแช่มชื่น
ต่อแต่นี้ มีศีลธรรม ทุกค่ำคืน
เลิกกินกลืน มนุษย์สัตว์ แต่บัดนั้นๆ
พระราชา พานิกร ตามไปกราบ
ขอรับทราบ เหตยักษ์ร้าย กลายแปรผัน
ว่าพุทธองค์ ทรงโปรดได้ อย่างไรกัน
จนได้เป็น โสดาบัน อริยบคคล
พระพุทธองค์ จึงทรงแสดง อาฬวกสูตร
ชาวอาฬว์ ถึงที่สุด ได้มรรคผล
กระแสธรรม นำแปดหมื่น สี่พันคน
ให้หลุดพัน ทุกข์ทั้งหลาย มากมายมี
ฝ่ายกุมาร อาฬวกะ ราช โอรส
อุปสมบท ต่อมา ศาสนานี้
เจริญธรรม สำเร็จขั้น อนาคามี
เมืองอาฬวี สว่างแจ้ง แสงแห่งธรรมฯ
ทรงชนะ อาฬวกยักษ์ ด้วยบารมี
ตลอดราตรี ชันติมั่น ปัญญาล้ำ
ปราบยักษ์ร้าย ให้กลายเป็น ผู้เห็นธรรม
ทั้งทรงนำ มรรดผล คนทั้งเมือง

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *