วัฏสงสาร

วัฏสงสาร
๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕
วัฏสงสารหรือสังสารวัฏ คนพื้นบ้านพื้นเมืองเรามักจะเรียกว่า “วัฏสงสาร” ความหมายก็เหมือนกับล้อรถหรือล้อเกวียนที่จะนับหรือหาที่ใดเป็นที่ตั้งต้นไม่ได้ เหมือนกับโคลากเกวียน กงล้อก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วัฏสงสารก็หมายถึงอย่างเดียวกัน

กิเลสเป็นเหตุให้กระทำกรรม เมื่อทำแล้วก็ได้รับผลของกรรม เรียกว่า “วิบาก” เมื่อรับวิบากแล้วก็ทำกรรมต่อไปอีก ทำกรรมแล้วก็ได้รับผลของกรรมหรือวิบากอีก กิเลสจึงเป็นเหตุให้ทำกรรมวนเวียนกันอยู่เช่นนี้เรื่อยไป จึงเรียกว่า วัฎสงสาร หรือสังสารวัฏ

พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงว่า กิจุโฉ มนุสสปฏิลาโภ แปลว่า บุคคลเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นหญิงเป็นชายนี้ ไม่ใช่ของง่าย แสนจะยากที่สุด

ท่านเปรียบเทียบไว้เหมือนเต่าตาบอดจมอยู่ในมหาสมุทร หนึ่งร้อยปีทิพย์จึงจะมีโอกาสโผล่ศีรษะขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าศีรษะเต่าตาบอดนั้นโผล่ขึ้นมาสวมไปในแอกที่ลอย
อยู่ในมหาสมุทรพอดี จึงจะได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่ง มหาสมุทรนั้นกว้างเพียงใด ลึกเพียงใด ประมาณไม่ได้ ศีรษะของเต่าจะเข้าไปสวมอยู่แอกกลมๆ นั้นยากขนาดไหน ลองพิจารณาดูกันเอง

พวกคนพาลหรือพวกไม่รู้ไม่เชื่อก็ว่ ถ้าคนเกิดมายาก ไม่ได้เกิดง่ายๆ ไฉนเล่าคนในโลกจึงมากมายจนไม่มีสถานที่ทำมาหากิน ที่ไร่ ที่นา ที่สวน ก็ไม่เพียงพอต่อการทำมาหากิน

อธิบายได้ว่า คนเราเมื่อตายแล้ว เกิดเป็นอย่างใดก็ได้ เกิดเป็นสัตว์ชนิดใดก็ได้มีตัวอย่างว่า ท่านหลวงพ่ออาจารย์พรหม บ้านดงเย็น จ.อุดรา ท่านสามารถระลึกชาติได้ท่านว่าท่านเคยเกิดเป็นแมลงหวี่ มอด อย่างละชาติหนึ่ง

ในตำนานท่านกล่าวว่า เมื่อฆ่าเขาแล้ว จะต้องไปเกิดแทนเขา ๕๐๐ ชาติ พระพุทธองค์ท่านจึงแสดงไว้ว่า “กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หญิงชายนี้แสนยากเย็นนักหนา เพราะมัวแต่จะต้องไปเกิดใช้หนี้เขาอยู่นั่นเอง”

ข้อที่พวกคนพาลค้านว่า ถ้าคนเกิดยากแล้ว ทำไมคนจึงมากมายจนไม่มีที่อาศัยไม่มีที่ทำมาหากิน

มีคำอธิบายว่า คนตายไปเกิดแทนสัตว์ สัตว์ก็ตายมาเกิดแทนคน สัตว์ที่ใช้กรรมเวรหมดแล้ว จะมาเกิดแทนคน สัตว์มีหลายจำพวก สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน นับประมาณจำนวนมิได้

มีพุทธภาษิตใจความว่า “มนุษย์ทั้งหลายในโลก ผู้ที่จะไปเกิดสุคติในโลกนี้หรือโลกสวรรค์ไปมีความสุขนั้น มีจำนวนเท่ากับเขาโค ส่วนที่ไปเกิดในทุคติภูมิทั้งสี่ คือ นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน นั้นมีจำนวนมากเท่ากับชนโค” เราลองเปรียบเทียบดูว่า ขนโคกับเขาโค อย่างไหนจะมีมากกว่ากัน

อีกพุทธภาษิตหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงนำฝ่าบาตรตักลงในดินแล้วตรัสว่า “ผู้ที่ไปสูสุดตินั้น เท่ากับฝุ่นละอองที่ติดฝาบาตร ส่วนผู้ที่ไปทุคตินั้น เท่ากับฝุ่นละอองที่อยู่ในโลกทั้งหมด” ผู้ที่ไปสู่สุคตินั้นเพียงนิดเดียว ส่วนผู้ที่ไปทุคตินั้นมีคณานับไม่ถ้วนเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน กันอีก

การได้เกิดเป็นมนุษย์ชายหญิงนี้แสนยาก หลวงพ่อ หลวงตา หลวงปู่ ท่านจึงเหนื่อยหน่ายที่สุดเมื่อพูดถึงเรื่องของการเกิด พูดง่ายๆ กลัวการเกิดยิ่งกว่ากลัวช้างกลัวเสือเสียอีก แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เป็นพระโพธิสัตว์แท้ๆ ยังได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในชาติที่บารมียังอ่อน พระองค์เกิดตั้งแต่สัตว์เล็กคือนกกระจาบ จนกระทั่งถึงสัตว์ใหญ่คือช้าง ในคัมภีร์ไม่เคยกล่าวว่าพระองค์เคยเกิดเป็นสัตว์นรก

ทาน ศีล ภาวนา นี้ป็นสมบัติที่แสนวิเศษในโลก ท่านว่าไว้ดังนี้

ผู้ใดอยากรวย ให้ทำทานเอาไว้
ผู้ใดอยากสวย ให้รักษาศีลเอาไว้
ผู้ใดอยากมีสติปัญญาดี ให้กาวนาเอาไว้
ถ้าเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วจะเชื่อใคร ท่นกล่าวไว้ว่า “พระพุทธเจ้าสามารถที่จะตัดนิสัยเก่าให้ขาดหมดสิ้น แต่สาวกจะเป็นองค์ไหนก็ตามก็ไม่สามารถที่จะตัดนิสัยเก่าให้หมดสิ้นได้”

อย่างเช่น พระโมคคัลลาน์เคยเป็นช้าง พระสารีบุตรเคยเป็นลิง ถึงแม้ในชาติสุดท้ายจะเป็นพระขีณาสพอรหันต์ก็ตาม ก็ยังชอบวิ่งขึ้นขอนไม้กระโดดโลดเต้นอยู่

ในวันนี้พูดเกี่ยวกับวัฏสงสารมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาลเวลา เอวัง

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *