๔๕|แยกแยะด้วยสติปัญญา

สิ้นเกิดประเสริฐสุด
สิ้นเกิดประเสริฐสุด
สังเกต ดูใจเรา ถ้าเราไม่ส่งใจออกไปนอก
ก็ไม่เกิดความคิด ยินดียินร้าย ไปตามนั้น
ถ้ามันสงบมันนิ่ง มันก็ปกติ
สำคัญว่า เราควบคุมอย่างไรให้มันปกติ
ถ้าไม่ปกติ เราจะเอาสติปัญญา
แยกแยะ เอาประโยชน์จากจุดนี้
หรือจะปล่อยให้มันนำโทษมาให้แก่เรา
ก็เป็นเรื่องของเรา ที่จะวิเคราะห์
ไม่มีใครจะมาดลบันดาลให้เราได้หรอก
แต่ความเชื่อของเรา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความเชื่อของเรา ถ้ามันกลายเป็นนิสัย
ก็แก้ยาก
โดยเฉพาะ ทางไม่ดี
แต่ถ้าทางดี กลายเป็นนิสัย
ก็เป็นวิหารธรรม เป็นกิจ
เช่น เราทำประจำ ไหว้พระ สวดมนต์
ไม่มีการบังคับ
เราต้องประเมินดูตนเองว่า
อยู่ในกรอบแบบไหน
ให้เราเอาไปเป็นข้อคิด
ฐานของเรามันไม่เสมอกัน
เข้าใจง่ายยาก ต่างกัน
พระพุทธเจ้าเทศนา หรือตรัสเอาไว้
บางคนก็ได้แค่ศรัทธา ความเลื่อมใส
บางคนก็ได้โสดาบัน บางคนก็ได้ถึง
สกิทาคามี อนาคามี
บางคน ก็หายสงสัยไปเลย
หรือบางคนก็ถือทิฏฐิมานะอยู่ข้างใน
อีกต่างหาก
ของใคร ของมัน
ความสุข ความทุกข์ ทางกาย ทางใจ
ก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้
ที่เราว่าสุขนั้น มันสุขนิดเดียว
มีทุกข์มากกว่า
ความเบาบางมีน้อย ความหนักมันมีมาก
เหมือนอาหารการกิน
เรารับรสอร่อยแค่ปลายลิ้น
ผ่านลิ้นเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้เป็นอะไร
รู้แต่ว่าหายอ่อนเพลีย มีกำลังวังชา
แต่รสชาติ เป็นอดีตไป
ความสุขของคนก็นิดเดียว
แค่ปลายลิ้น เท่านั้นแหละ
ถ้าเราไม่ยินดี ยินร้าย มันก็เฉยๆ
สิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์แล้ว ก็ผ่านไป
ทุกข์ก็สักแต่ว่าเฉยๆ
ถ้าเราไม่ไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง
เรื่องของใจทั้งนั้น
ท่านจึงว่า ให้แก้ที่ใจ
๒๔ ก.ค. ๒๕๕๗ ก่อนสวดมนต์เย็น

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *