
เป็นวันๆ ไป
ไม่ต้องการมากกว่านี้
คนเราก็เหมือนกัน
ส่วนมากต้องการความสุขเพียงเท่านี้
แค่มียศมีศักดิ์ มีเงินทอง มีชื่อเสียง ไม่เกินนี้
ถ้ามองเกินนี้ คงจะขวนขวายมากกว่านี้
เราเข้าถึงแค่วัฒนธรรม
เหมือนเรียนหนังสือพออ่านออกเขียนได้เฉยๆ
แต่ไม่มีใบประกาศกับเขา
ไม่มีตำแหน่งรองรับกับเขา
เรียกว่ารู้แค่วัฒนธรรม
แต่ไม่เข้าถึงหลักธรรม
ถ้าเข้าถึงหลักธรรมจะไม่นอนใจขนาดนี้
ดูตันไม้ใบหญ้า
มันแก่มันจะร่วงลงไป ลงไป
มันเหลืองมันแห้ง
มันไม่กลับคืนมางอกใหม่อีก
มีแต่ต้นใหม่ใบใหม่ งอกขึ้นมา
แต่พวกเรามันร่วงแต่สังขาร
แต่จิตใจไม่ปล่อยตาม
ยังยึดถือไว้อยู่ เช่น ความทุกข์ใจผ่านไปแล้ว
แต่ยังฝังใจอยู่ ไม่ผ่านพ้นแท้
ไม่เหมือนใบไม้ มันร่วงออกจากกิ่งนี้แล้ว
ก็ล่วงไปเลย
ใบนั้นไม่กลับมางอกอีก
มีแต่ใบใหม่ งอกใหม่มาแทน
เหมือนอารมณ์เรา เกิดใหม่ก็จริง
แต่เกิดอยู่ที่ใจอันเดิม มันไม่ล่วงไปแท้จริง
ถ้าล่วงแท้ ความโกรธก็จะเบาไป
เบาไป ถึงกับไม่มี
จึงว่ามันคือ อวิชชา
ถ้าไม่หลุดไม่ล่วงไป
ก็กลับมาเกิด มาตายอีก
หลงแล้ว หลงอีก โกรธแล้ว โกรธอีก
เสียใจแล้ว เสียใจอีก
ไม่มีที่สิ้นที่สุด
๙ ส.ค. ๒๕๕๗ ก่อนสวดมนต์เย็น