ฌาน
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
วันนี้จะขอพูดเรื่องการเจริญฌานให้พวกท่านทั้งหลายได้ฟังกัน เพื่อที่จะได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ขอให้ตั้งใจกันให้ดีๆ อย่าได้ส่งจิตส่งใจออกไปรับอารมณ์อย่างอื่นเพราะจะไม่มีประโยชน์เลย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนให้พวกเราบำเพ็ญสมถะ ก็คือการเจริญฌาน ๔ นี่เอง คำว่า ฌาน ๔ ก็คือ ๑. ปฐมฌาน ๒. ทุติยฌาน ๓. ตติยฌาน ๔. จตุตถฌาน
สัมมาสมาธิ หมายความว่า ให้เจริญฌานทั้งสี่ให้สำเร็จเสียก่อน จึงจะเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า “ไตรลักษณ์หรือญาณทัสสนะ”
ญาณ แปลว่า ความรู้ ทัสสนะ แปลว่า ความเห็น
ดังนั้น ญาณทัสสนะ หมายความว่า ทั้งรู้ทั้งเห็น เรียกว่ารู้ดีรู้ชอบ เห็นดีเห็นชอบ คือการเห็นกายเวทนา และจิตเวทนานี่แหละ
ถ้าพูดแบบสรุปใจความ ฌานทั้งสี่กับวิปัสสนานี้ ไม่สามารถที่แยกกันได้เป็นคู่กันไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะได้สำเร็จเป็นพระโสดาอริยมรรคบุคคลแล้ว หรือเจริญมรรคหนึ่งๆ นับตั้งแต่ปฐมมรรค เรียกว่า อนุโลม ปฏิโลม
ท่านหลวงปู่มั่นท่านจึงสรุปในมุโตทัยว่า ให้หัดมีอนุโลม ปฏิโลม
อนุโลม คือ การพิจารณาร่างกาย
ปฏิโลม คือ การกำหนดจิต
ที่ว่า ฌานทั้ง ๕ กับ วิปัสสนา แยกกันไม่ได้ ก็คือ ถ้าฌานเสื่อม วิปัสสนาก็ไปไม่ได้ ไม่สะดวก เมื่อเข้าฌานเข้าสมาธิแล้ว เมื่อถอนออกมา ก็มาพิจารณารูปว่างกายของเราและเวทนา
เวทนา เมื่อเรานั่งนานไปก็จะเกิดการปวดแข้งปวดขา เรียกว่า ทุกขเวทนา ถ้าสำเร็จฌานนับแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป เรียกว่า วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา โดยจะมีเอกัคคตา ปิติ และ ความสุข เป็นเครื่องหมาย
เมื่อผู้ปฏิบัติทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว เรียกว่าอิ่มกายอิ่มใจ จิตจะสงบไปเกือบตลอดวันไม่อยากพูดจากับใคร ไม่อยากพบกับใคร เพราะมันเกิดความสงบ ถึงเวลากลางคืนจะทำความเพียรทั้งคืนไม่นอนตลอดคืนก็ยังอยู่ได้ นี่เรียกว่า “ธมฺมปีติ สุขํ เสติ” ผู้มีปีติธรรมย่อมถึงความสุขได้

ขอให้เข้าใจว่ ถ้าเราจะใช้แต่วิปัสสนาพิจารณาแต่รูปนาม พิจารณาไปนานๆ เกินกำลังของสติปัญญา มันก็ชักล้าไปเหมือนกัน พิจารณามันจะไม่ซัด ปัญญามันจะอ่อนลง จึงควรไปนั่งสมาธิ เมื่อเราไปเข้าสมาธิ เรียกว่า ปฎิโลม เมื่อเราเข้าฌานจิตรวมสนิทดีแล้ว จนสำเร็จฌาน มี ปีติ สุข เอกัคคตา เสวยสุขอยู่ในฌานขนาดเป็นชั่วโมงๆ หรือในบางครั้งตลอดทั้งคืนเลยก็มี
เมื่อจิตถอนจากสมาธิแล้ว จิตเป็นสมาธิที่ดี เมื่อเราพิจารณารูปร่างกาย หรือเวทนา ความสุข ความทุกข์ มันก็จะพิจารณาได้ชัดเจน พิจารณากายก็เห็นกายชัดเจน พิจารณาร่างกายถึงขนาดเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในบางครั้งจนเกิดร้องไห้ เพราะสลดสังเวชตนเอง บางทีเกิดเห็นตับ ไต ไส้ ก็เกิดสังเวช เมื่อเกิดสังเวชแล้ว เมื่อเราไปเข้าสมาธิอีก จิตก็จะรวมได้อีก
ตกลงว่า ฌานกับวิปัสสนานี้ เป็นเครื่องรับซึ่งกันและกัน เหมือนกับตัวอย่างเช่น นายช่างเขามีเครื่องมือ ก็คือพวกมีด ขวาน ถ้านำเครื่องมือไปใช้แต่เพียงอย่างเดียว มันก็จะหมดคมได้เหมือนกัน เมื่อหมดคมแล้ว นายช่างเขาต้องเอาเครื่องมือนั้นมาลับอีก เมื่อลับได้คมเหมือนเดิมแล้วก็สามารถที่จะนำไปใช้ได้ดีเหมือนเดิม ฉันใดก็ฉันนั้น เราจะใช้ต่วิปัสสนาอาแต่พิจารณอย่างเดียวก็ทำให้ปัญญาอ่อนลงได้เหมือนกัน เราจึงต้องเข้าสมาธิเพื่อเพิ่มพลังเข้าไปใหม่ ถ้าเราไม่สำเร็จฌานเสียก่อน เราก็จะเดินวิปัสสนาไม่ได้ ขออย่าให้เรากลัวฌาน ฌานเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ในหลักธรรม ท่านจึงกล่าวไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมีฌานเป็นเกราะ จงมีฌานเป็นที่พึ่ง และจงมีฌานเป็นเครื่องอยู่เถิด”
คนที่ไม่มีฌานก็คือคนสามัญที่มีจิตใจไม่สงบ ฟุ้งซ่าน คิดออกไปนอกกาย คิดไปตามอารมณ์สัญญา จิตยึดไม่อยู่ ก็เพราะจิตไม่มีเครื่องอยู่นั่นเอง ถ้าจิตมีเครื่องอยู่คือมีฌาน ก็จะมีปีติ ความสุข และจิตถึงเอกัคคตา เป็นจิตดวงเดียว เกิดความอิ่มใจนี่เป็นเครื่องอยู่ ธรรมดาจิตที่สงบนั่นแหละเรียกว่า ฌาน
ถ้าจิตไม่สงบแล้ว เราจะพิจารณาร่างกายได้อย่างใด จะพิจารณาเวทนา หรือความสุขความทุกข์ได้อย่างใด เหมือนกับพ่อค้าไปทำการค้าขายต่างจังหวัด ถ้ายังไม่มีที่พักแล้วจะไปค้าขายที่นั่นได้อย่างใด เรียกว่าพ่อค้านั้นยังไม่มีที่อยู่ หรือแม้แต่ข้าราชการที่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เขาก็ยังมีบ้านรับรองให้ ถ้าเราไม่มีบ้านอยู่ ร่างกายของเราจะอยู่ได้อย่างไร นี่เป็นการเปรียบเทียบทางโลกให้ฟัง
เมื่อเราเข้าฌานได้แล้ว เราอย่าไปติดในฌาน ท่านว่าไว้ “ถ้าไปติดในฌาน ก็มีบุญในฌาน ตายไปก็จะไปเกิดในรูปพรหม ๑๖ ชั้น เรียกว่ายินดีในฌาน ติดอยู่ในฌาน” แต่ถ้าเราไม่ยินดี ถึงจะเกิดความสุขในฌาน เราก็ไม่พอใจในสุขในฌานนั้น เพราะเรารู้เท่าทันสุขในฌาน ซึ่งก็คือ สุขเวทนา
เมื่อเรารู้ถึงสุขเวทนา มันก็จะรู้ทันทุกขเวทนาได้เหมือนกัน สุขเวทนาที่เกิดจากฌาน หรือทุกขเวทนาที่เกิดจากการปวดแข้งปวดขาหรือจากโรคภัยต่างๆ นั้นก็เหมือนกัน
ถ้าเราพิจารณาได้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ถ้าเรายินดีในความสุข และเศร้าใจในความทุกข์เรียกว่า ใจลำเอียงใจม่เป็นกลาง เราต้องทำใจให้เป็นกลาง คือให้เห็นว่าสุขหรือทุกข์มีค่าเท่ากัน เป็นของคู่กัน ถ้าเราไปยึดเอาความสุข เราก็จะได้รับเอาความทุกข์มาด้วย เรียกว่าเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องได้แถมอีกอย่างหนึ่ง เพราะเป็นของคู่กัน เช่น เราเอาความเกิด ก็จะได้ความตายมาด้วย เอาความรัก ก็ได้ความชังมาด้วย มีร้อนก็ต้องมีหนาว เรื่องของโลกเป็นเช่นนี้
ถ้าเราไม่ยินดีในสุขในทุกข์ เห็นสุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน นี่เรียกว่าจิตไม่ลำเอียง เรารู้เวทนา เรียกว่า “เวทนานุปัสสนา”
ถ้าเราจะเอาจิตออกจากมิจฉาสมาธิ ต้องเอากายกับใจเป็นหลัก ความรู้อย่างอื่นต้องปล่อยหมด ได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไร ต้องละวางให้หมด ทำใจให้เป็นกลางปล่อยความยินดียินร้าย ให้ตั้งอุเบกขาเป็นหลัก อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญขอให้จำให้ดี
เมื่อเราเข้าถึงฌานที่สามแล้ว เราท่านส่วนมากไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระนิพพานแล้ว เข้าใจว่าหมดกิเลสแล้ว เป็นอย่างนั้นเสียโดยมาก เรียกว่า “หลงฌานหรือติดฌาน”
สมถะและวิปัสสนาเป็นของคู่กันไปเรื่อยๆ เมื่อสมถะแก่กล้าจนกลายเป็นวิปัสสนาการพิจารณาร่างกายนี้ก็ใช้สัญญานี่แหละเสียก่อน ขอให้จำไว้
นี่ก็ได้พูดเรื่องฌานมาจนพอสมควรแก่เวลา เอวัง